หากคุณจินตนาการถึงอนาคตที่มีการสร้างอวัยวะเทียมเหมือนจริงเฉพาะบุคคลให้กลายเป็นเรื่องปกติ ทำได้ไม่ยาก และช่วยรักษาชีวิตของผู้คนได้มากขึ้น หนึ่งในเทคโนโลยีที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงวงการแพทย์ไปตลอดกาลได้ก็คือ การ ปริ้นท์ 3 มิติ นั่นเอง ซึ่งการ ปริ้นทร์ 3 มิติ ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในวงการแพทย์ เพื่อให้การดูแลสุขภาพของผู้ป่วยมีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
บทความนี้ TKK3D เลยจะพาคุณไปสำรวจโลกของการพิมพ์ 3 มิติในวงการแพทย์กัน หากใครอยากรู้ว่าปัจจุบันการพิมพ์ 3D ในวงการแพทย์พัฒนากว้างไกลไปถึงระดับไหนแล้ว ห้ามพลาดบทความนี้!
Table of Contents
การ ปริ้นท์ 3 มิติ สำคัญในวงการแพทย์อย่างไร?
การ ปริ้นท์ 3 มิติ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติวงการแพทย์อย่างมาก ด้วยความสามารถในการสร้างวัตถุสามมิติจากแบบจำลองดิจิทัล เทคโนโลยีนี้จึงได้เปิดโอกาสใหม่ ๆ ในการรักษาพยาบาลและการวิจัยทางการแพทย์มากมาย ซึ่งจะมีประโยชน์ในด้านใด ๆ บ้าง ติดตามกันต่อเลย
ประโยชน์และการประยุกต์ใช้การปริ้นท์ 3 มิติในวงการแพทย์
การสร้างอวัยวะเทียมและชิ้นส่วนกระดูก
หนึ่งในประโยชน์ที่เห็นได้ชัดของการ ปริ้นท์ 3 มิติ ในวงการแพทย์ คือ การสร้างอวัยวะเทียมและชิ้นส่วนกระดูกที่ตรงกับร่างกายของผู้ป่วยแต่ละราย
- พิมพ์อวัยวะเทียมที่ตรงกับร่างกายของผู้ป่วย ด้วยเทคโนโลยีการสแกนและการสร้างแบบจำลอง 3 มิติ แพทย์จึงสามารถสร้างอวัยวะเทียมที่มีรูปร่างและขนาดที่สอดคล้องกับร่างกายของผู้ป่วยได้อย่างแม่นยำ ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ
- สร้างชิ้นส่วนกระดูกเพื่อการปลูกถ่าย แพทย์สามารถสร้างชิ้นส่วนกระดูกเทียมที่ตรงกับตำแหน่งและขนาดของกระดูกที่เสียหาย เพื่อใช้ในการปลูกถ่าย ทำให้กระบวนการรักษาและฟื้นฟูเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว
- เร่งกระบวนการรักษาและฟื้นฟู แบบจำลอง 3 มิติของอวัยวะที่สร้างจากการปริ้นท์ 3 มิติ ช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการผ่าตัดได้อย่างละเอียด และลดความเสี่ยงในการเกิดข้อผิดพลาดจึงช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติได้เร็วกว่า
การผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์
การ ปริ้นท์ 3 มิติได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ ทำให้การรักษาพยาบาลมีความแม่นยำและเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น โดยสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น
- พิมพ์เครื่องมือผ่าตัดที่ปรับแต่งได้ สามารถออกแบบให้มีความแม่นยำสูง ตรงตามความต้องการของแพทย์แต่ละท่าน เหมาะสมกับการผ่าตัดแต่ละเคส ช่วยลดความซับซ้อนในการผ่าตัด และลดระยะเวลาในการผ่าตัดได้
- โมเดลอวัยวะที่พิมพ์ขึ้นมาจากข้อมูล CT scan หรือ MRI สามารถใช้ในการศึกษาโครงสร้างของอวัยวะ และฝึกฝนทักษะการผ่าตัดได้ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการผ่าตัดจริง เพราะช่วยให้แพทย์สามารถฝึกซ้อมการผ่าตัดในโมเดล 3 มิติ ก่อนที่จะทำการผ่าตัดจริงได้ จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดข้อผิดพลาดในการผ่าตัด
- พัฒนาอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้ป่วย เช่น อุปกรณ์ดามที่พิมพ์ขึ้นมาจากแบบจำลอง 3 มิติ สามารถปรับให้เข้ากับรูปร่างของผู้ป่วยได้อย่างพอดี ช่วยให้การรักษาอาการบาดเจ็บเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือหูฟังที่ปรับแต่งได้ตามรูปร่างของหูภายนอก ช่วยให้การได้ยินดีขึ้น เป็นต้น
การวางแผนการรักษา
การปริ้นท์ 3 มิติได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการวางแผนการรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการผ่าตัด เทคโนโลยีนี้จะช่วยให้แพทย์สามารถสร้างแบบจำลอง 3 มิติของอวัยวะที่ผิดปกติได้อย่างแม่นยำ ซึ่งจะนำไปสู่การวางแผนการผ่าตัดที่ละเอียดและลดความเสี่ยงในการผ่าตัดได้อย่างมาก
- แพทย์สามารถศึกษาโครงสร้างของอวัยวะที่ผิดปกติได้อย่างละเอียด ทำให้เข้าใจถึงความซับซ้อนของโรคมากขึ้น จากโมเดล 3 มิติที่มีความแม่นยำสูง แสดงให้เห็นถึงขนาด รูปร่าง และตำแหน่งของความผิดปกติได้อย่างสมจริง
- ช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนขั้นตอนการผ่าตัดได้อย่างละเอียด โดยอาศัยข้อมูลจากโมเดล 3 มิติ
- ช่วยให้แพทย์สามารถฝึกซ้อมการผ่าตัดในโมเดล 3 มิติ ก่อนที่จะทำการผ่าตัดจริง ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดข้อผิดพลาด
การสร้างเนื้อเยื่อและอวัยวะ
การปริ้นท์ 3 มิติได้เปิดโอกาสใหม่ ๆ ในวงการแพทย์ที่น่าตื่นเต้น นั่นคือการสร้างเนื้อเยื่อและอวัยวะเทียม ซึ่งเป็นความหวังใหม่สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการการปลูกถ่ายอวัยวะ
- ในอนาคตอาจมีการสร้างเนื้อเยื่อจากเซลล์ของผู้ป่วย โดยการนำเซลล์ของผู้ป่วยมาเพาะเลี้ยงและพิมพ์เป็นโครงสร้าง 3 มิติ ทำให้ลดความเสี่ยงในการปฏิเสธจากร่างกาย
- เนื้อเยื่อที่พิมพ์ขึ้นสามารถใช้ในการทดสอบยาใหม่ ๆ เพื่อลดการทดลองในสัตว์และมนุษย์ได้
วัสดุที่ใช้ในการปริ้นท์ 3 มิติทางการแพทย์ นวัตกรรมเพื่ออนาคต
การพิมพ์ 3 มิติในวงการแพทย์นั้นก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว และหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนความก้าวหน้านี้คือ วัสดุที่ใช้ในการพิมพ์ ซึ่งต้องมีคุณสมบัติเฉพาะตัวเพื่อให้เข้ากันได้กับร่างกายมนุษย์และตอบโจทย์การใช้งานทางการแพทย์ที่หลากหลาย
วัสดุชีวภาพ (Biomaterials) หรือรู้จักกันในชื่อ PLA เป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติเข้ากันได้ทางชีวภาพ จึงสามารถนำมาใช้กับร่างกายของมนุษย์ได้ โดยใช้ทดแทนส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายมนุษย์ที่เสื่อมสภาพไป ซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์ หรือเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อในอวัยวะ ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็ได้มีการนำวัสดุชีวภาพมาใช้กับการแพทย์มากขึ้น
โลหะ เป็นวัสดุที่มีความคงทน จึงนิยมนำมาใช้เป็นวัสดุทางการแพทย์ โดยส่วนใหญ่แล้วจะนิยมนำมาใช้อย่างแพร่หลายกับการรักษาเนื้อเยื่อและอวัยวะ เช่น การรักษากระดูกฟัน และดามกระดูกตามร่างกาย เป็นต้น
พอลิเมอร์ เป็นอีกหนึ่งวัสดุที่มีการนำมาใช้ทางการแพทย์มากที่สุด โดยมักจะนำมาใช้ในการผลิตเวชภัณฑ์โพลิเมอร์ยา และการนำมาใช้ทำอวัยวะเทียมที่ต้องใช้กับร่างกายของมนุษย์โดยตรง เนื่องจากเป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติที่ดี มีความยืดหยุ่นสูง
วัสดุคอมโพสิต เป็นการนำเอาวัสดุทางเคมี 2 ชนิดขึ้นไป มาประกอบกันจนทำให้ได้เป็นวัสดุชิ้นใหม่ที่มีคุณสมบัติที่ดีมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม โดยปัจจุบันนี้นิยมนำมาใช้กับทางการแพทย์มากขึ้น เนื่องจากเป็นวัสดุที่มีความทนทาน และปลอดภัยต่อร่างกายมนุษย์
ปัจจุบันนี้มีการนำเทคโนโลยีงานปริ้นท์ 3 มิติเข้ามาปรับใช้กับวงการแพทย์อย่างแพร่หลาย ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ต่อการรักษาและการพัฒนาวงการแพทย์ให้ก้าวหน้าและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งสามารถช่วยให้การรักษาผู้ป่วยมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้มากกว่าเดิม รวมถึงช่วยให้การรักษาโรคต่าง ๆ มีความแม่นยำ และตรงจุดมากขึ้น นอกจากนั้นยังช่วยลดเวลา พร้อมทั้งลดค่าใช้จ่ายในรักษาได้ด้วยนั่นเอง
หากสนใจติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ :
- เว็บไซต์: https://www.tkk3dprinting.com/
- ไลน์: @tkk3d
- Facebook: https://www.facebook.com/tkk3d
- โทร : 092-5995661 (Sale เบสท์)/ 066-1091563 (Sale ใบบัว)/ 092-7915191(Sale ฟลุค)/ 092-914-3997 (Sale น้อง)
TKK3D พร้อมให้บริการพิมพ์ 3 มิติ ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณ