เรามักจะคุ้นเคยกับสินค้าประเภท 3D Print โดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นของเล่น ของใช้ ของตกแต่ง มักจะผลิตจากระบบการพิมม์สามมิติทั้งนั้น ซึ่งผลิตภัณฑ์ประเภทนี้เป็นสินค้าที่เหมาะกับผู้ประกอบการในยุคนี้ ที่ไม่ต้องการสต็อกสินค้ามากๆ ทำให้ขายได้คล่อง หรือเน้นขายช่องทางออนไลน์เป็นส่วนใหญ่ และยังลงทุนไม่มาก แต่กลับขายได้ในราคาสูง เราจึงอยากจะมาแนะนำผู้ประกอบการในยุคนี้ได้รู้จักกับสินค้าสามมิติในรูปแบบต่าง ๆ ผ่านบทความ
Table of Contents
งาน 3D Print คืออะไรทำไมถึงน่าสนใจที่จะเริ่มลงทุน?
การพิมพ์สามมิติ คือ เทคโนโลยีที่สามารถขึ้นรูปวัตถุในลักษณะ 3 มิติ ที่มีความกว้าง ยาว ลึก สามารถนำไปใช้งานได้จริงและจับต้องได้ โดยกระบวนการนี้เรียกว่าการสร้างแบบเติมเนื้อ (Additive Manufacturing) ซึ่งต่างจากวิธีการผลิตแบบดั้งเดิมที่มักจะใช้การตัดหรือการทำให้วัสดุส่วนเกินออกไป และจะขอตัวอย่างของสินค้าที่สามารถสร้างด้วยการพิมพ์สามมิติ
1. ต้นแบบและโมเดล
- ต้นแบบผลิตภัณฑ์: ใช้สำหรับการออกแบบและทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ก่อนการผลิตในปริมาณมาก
- โมเดลสถาปัตยกรรม: สร้างแบบจำลองของอาคารหรือโครงการก่อสร้าง
2. อุปกรณ์และเครื่องมือ
- ชิ้นส่วนเครื่องจักร: การพิมพ์ชิ้นส่วนเฉพาะสำหรับเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ต่างๆ
- เครื่องมือและอุปกรณ์งานฝีมือ: เช่น เครื่องมือทางการแพทย์, อุปกรณ์สำหรับ DIY
3. เครื่องประดับและแฟชั่น
- เครื่องประดับ: เช่น แหวน, สร้อยคอ, ต่างหู ซึ่งสามารถออกแบบและสร้างได้ตามความต้องการเฉพาะตัว
- แฟชั่น: เสื้อผ้าหรืออุปกรณ์เสริมที่ออกแบบมาเฉพาะตัว
4. ของตกแต่งบ้าน
- ของตกแต่ง: เช่น โมเดลศิลปะ, โคมไฟ, หรือของตกแต่งภายในบ้านที่มีดีไซน์เฉพาะตัว
- เฟอร์นิเจอร์: บางส่วนของเฟอร์นิเจอร์หรืออุปกรณ์ที่ออกแบบพิเศษ
ข้อดีของการลงทุนสินค้าจากงาน 3D Print ที่หลายคนยังไม่รู้
- สร้างงานที่มีความละเอียดซับซ้อนได้มากกว่า
- ไม่จำเป็นต้องใช้แม่พิมพ์ ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตไม่สูง
- ไม่ต้องสต็อกสินค้า เนื่องจากสามารถผลิตสินค้าได้เรื่อย ๆ และยังใช้เวลาไม่นานอีกด้วย
- เทียบกับการฉีดพลาสติกจะได้ราคาที่ถูกกว่า และสามารถขายสินค้าได้ในราคาที่สูง
- ไม่มีขั้นต่ำในการผลิต สังเกตจากเจ้าที่ผลิตงานสามมิติมักจะไม่มีการกำหนดขั้นต่ำ หนึ่งชิ้นก็สามารถผลิตได้
ประเภทธุจกิจที่เหมาะกับงาน 3D Print
สมัยนี้ธุรกิจส่วนใหญ่สามารถใช้สินค้า 3D Print เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นทั้ง ผลิตภัณฑ์เพื่อขาย ส่งเสริมการขาย สนับสนุนต่อการใช้งาน เราจึงยกตัวอย่างธุรกิจที่เหมาะกับสินค้าสามมิติ
1. ธุรกิจขายของออนไลน์
เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ไม่มีตกเทรนด์และยังจะมีผู้ประกอบการที่เข้ามาลงทุนอยู่เรื่อย ๆ และเราเองยังเลือกสินค้าที่สนใจเข้ามาขายได้ ซึ่งการหาแหล่งขายสินค้าราคาต้นทุนดี ๆ จำเป็นที่จะต้องได้รับคำปรึกษาจากผู้รู้จริง ๆ อีก ยกตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่มาจากสินค้าสามมิติ เช่น คีย์แคป, ตุ๊กตาโมเดล, Art Toy, ของเล่น และสินค้าประเภทการใช้งานอื่น ๆ อีกมากมาย
2. ธุรกิจเกี่ยวสุขภาพ
ธุรกิจมาแรงไม่แพ้ใครในปีนี้ได้แก่ธุรกิจด้านสุขภาพ และการดูแลสุขภาพ ซึ่งในที่นี้เราจะขอยกตัวอย่างเรื่องอุปกรณ์เสริมที่ใช้เพื่อส่งเสริมให้ร่างกายมีสุขภาพที่แข็งแรง เช่น อุปกรณ์เสริมสำหรับอุปกรณ์กีฬา หรือด้านการแพทย์ อย่าการพิมพ์กายอุปกรณ์เทียม ที่ใช้ทดแทนอวัยวะที่ขาดหายไป
3. ธุรกิจร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านกาแฟ
นับว่าเป็นธุรกิจที่ผู้ประกอบการหน้าใหม่มักจะลงทุน และมักจะเป็นกระแสได้ง่ายหากมีมุมถ่ายรูปสวย ๆ อาหาร เครื่องดื่มที่อร่อย ก็จะยิ่งชวนให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการมาก ซึ่งในการทำเครื่องอาจจะมีอุปกรณ์เสริมบางอย่างที่หาซื้อไม่ได้ หรือถ้าซื้อได้ก็จะซื้อได้ในราคาที่แพงอีกด้วย นอกจากนี้ในการตกแต่งยังใช้การปริ้นท์สามมิติเข้ามาช่วยได้ เช่น ป้ายร้าน ป้ายรับ/ส่งออเดอร์ ป้ายเมนู ฯลฯ
กระบวนการพิมพ์ FDM และการควบคุมราคาต้นทุนวัตถุดิบ
1. FDM คืออะไร? มีหลักการทำงานยังไง?
FDM เป็นหนึ่งในระบบการพิมพ์ 3 มิติ (3D Print) ย่อมาจากคำเต็มๆว่า Fused Deposit Modeling หรือบางที่จะเรียกว่า FFF (Fused Filament Fabrication) หลักการทำงานคือ เครื่องจะทำความร้อนเพื่อหลอมเส้นพลาสติกให้กลายเป็นของเหลวแล้วฉีดออกมาเป็นเส้นผ่านหัวฉีด (Nozzle) โดยพลาสติกที่ถูกหลอมละลายจะเปลี่ยนสถานะของแข็งมาเป็นรูปแบบของเหลว ไหลออกมาที่หัวฉีด เครื่องจะเคลื่อนหัวฉีดจะวาดเส้นพลาสติกที่ถูกฉีดออกมาเป็นรูปร่างในแนวแกนระนาบ เมื่อเสร็จชั้นหนึ่งแล้วก็จะพิมพ์ในชั้นต่อๆไป จนครบ Layer ของชิ้นงานตามที่ได้ออกแบบไว้
ระบบ FDM ลักษณะการทำงานเหมือนกับปืนกาว เครื่องจะทำความร้อนเพื่อละลายพลาสติกแล้วฉีดออกมาวาดขึ้นรูปชั้นต่อชั้น ระบบนี้เป็นที่นิยมเพราะดูแลรักษาง่าย และเส้นพลาสติก (Filament) ก็สามารถหาซื้อได้ทั่วไปมีหลากหลายสีให้เหลือกใช้
2. วัสดุที่ใช้เป็นตัวกำหนด ราคา สินค้าได้ยังไง?
ในที่นี้ม้วนพลาสติกที่นำมาใช้จะถูกเรียกว่า ฟิลาเมนต์ (Filament) เป็นพลาสติกพอลิเมอร์ประเภท Thermo Plastic ที่เมื่อโดนความร้อนหลอมจะอ่อนตัวเป็นของเหลว เมื่อเย็นตัวลงก็จะกลับมาเป็นของแข็งอีกครั้ง ซึ่งวัสดุที่นิยมใช้หลักๆ ได้แก่ PLA ABS TPU PETG เป็นต้น
- PLA เป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมสูงสุด และยังมีราคาที่ถูกอีกด้วย เหมาะกับการเริ่มต้นทำสินค้าง่ายๆที่ใช้งานทั่วไป ได้ทั้งงานขนาดเล็กไปจนถึงใหญ่
- ABS มีคุณสมบัติทน UV ได้ดีไม่เสียรูปเมื่อตากแดด แต่ก็จะมีราคาที่สูงขึ้นมาจาก PLA นิดหน่อยเนื่องด้วยจากพิมพ์ยาก แต่ชิ้นงานที่ได้จะมีมูลค่าที่สูงเนื่องจากคุณสมบัติที่โดดเด่น
- PETG เป็นวัสดุที่มีความแข็งแรงมากที่สุด สามารถทนความร้อนได้มากกว่า PLA มีความเหนียว ไม่เปราะ ซึ่งราคาเริ่มต้นพอๆกับ ABS
- TPU เป็นเส้นพลาสติดที่นิ่มากๆ ซึ่งชิ้นงานที่จะมีความนิ่ม และอ่อนตัว สามารถบิดได้แต่ก็ไม่แตกหัก เนื่องจากมีความเหนียวและยืดหยุ่นสูง และราคาเองก็ต่างจากวัสดุอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
นี่เป็นเพียงการประมาณให้เห็นภาพเท่านั้น ซึ่งในการผลิตชิ้นงานจะขึ้นอยู่ปัจจัยอื่น ๆ ที่จะส่งผลต่อราคาของสินค้าด้วยเช่นกัน
อนาคตของการพิมพ์สามมิติ
มีแนวโน้มที่จะพัฒนาไปในทิศทางที่หลากหลายมากขึ้น เทคโนโลยีนี้จะยังคงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสินค้าและการผลิตที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงการใช้งานวัสดุใหม่ๆ และการปรับปรุงการทำงานของเครื่องพิมพ์ให้มีความแม่นยำและรวดเร็วขึ้น
ด้วยศักยภาพที่น่าตื่นเต้นนี้ จะยังคงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสร้างสรรค์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ในอนาคต โดยมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตและออกแบบในอุตสาหกรรมต่างๆ และในชีวิตประจำวันของเรา
บริการปริ้นท์ชิ้นงานสามมิติ 3D Printing
หากสนใจ 3D printing ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ :
- เว็บไซต์: https://www.tkk3dprinting.com/
- ไลน์: @tkk3d
- Facebook: https://www.facebook.com/tkk3d
- โทร : 092-5995661 (Sale เบสท์)/ 066-1091563 (Sale ใบบัว)/ 092-7915191(Sale ฟลุค)/ 092-914-3997 (Sale น้อง)
TKK3D พร้อมให้บริการพิมพ์ 3 มิติ ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณ